คลังความรู้

ความรู้เกี่ยวกับคาร์บ โรค NCDs การกิน/การออกกำลังกายที่เหมาะสม

ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับคาร์บ

  1. ความรู้เกี่ยวกับคาร์บ

“คาร์บ” ย่อมาจากคำว่า “คาร์โบไฮเดรต” เป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย พบมากในอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง ผัก ผลไม้ นม ขนมและเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล

เนื่องจากการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต เมื่อกินเข้าไปร่างกายจะย่อยเป็นน้ำตาล หากร่างกายใช้น้ำตาลเหล่านี้ไม่หมดมันก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันและสะสมตามร่างกายเกิดเป็นภาวะอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่าง ๆ ตามมา ดังนั้นเมื่อลดหรือควบคุมการกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตลงจะทำให้ร่างกายดึงเอาไขมันที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกมาใช้เป็นพลังงานแทน ช่วยควบคุมน้ำหนักให้อยู่ตามเกณฑ์ปกติ

ตารางที่ 1 รูปแบบการกิน “การปรับลดสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต” เลือกให้เหมาะสมกับบุคคล

รูปแบบการกินอาหาร

แบบปรับสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต

กลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

 

1. อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ

Low carbohydrate diet

 

  คาร์โบไฮเดรต 20%
ของพลังงานใน 1 วัน

เหมาะกับคนที่ป่วยเป็นเบาหวานและอ้วน ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือเข้าสู่เบาหวานระยะสงบ ควรกินในระยะสั้น 3 - 6 เดือน ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์

ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคไต โรคไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจและหลอดเลือด

2. อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำปานกลาง

Moderate carbohydrate diet

 

  คาร์โบไฮเดรต 40%
ของพลังงานใน 1 วัน

เหมาะกับคนที่เป็นเบาหวานและอ้วน

ต้องการควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้เพิ่มขึ้น

3. อาหารสมดุล Balanced Diet

 

  คาร์โบไฮเดรต 55%
ของพลังงานใน 1 วัน

เป็นสัดส่วนการกินสำหรับบุคคลทั่วไป

เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของประชาชนไทย

 

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับคาร์บ



Q1:  การกินแบบ Low Carb ก็คือ Low Calorie ใช่หรือไม่

A1: Low Carb ไม่ใช่ Low Calorie: คาร์บ และ แคลอรี่มีความแตกต่างกันดังนี้

คาร์บ ย่อมาจากคำว่า คาร์โบไฮเดรต

เป็นหนึ่งในสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อร่างกาย อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก เมื่อบริโภคแล้วจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลในเลือด พบมากในอาหารกลุ่มข้าว-แป้ง ผัก ผลไม้ นม ขนมและเครื่องดื่มที่เติมน้ำตาล โดยอาหาร 1 คาร์บคืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตประมาณ 15 กรัม

 

แคลอรี่

เป็นหน่วยวัดพลังงานอย่างหนึ่ง ใช้ได้กับทั้งการนับจำนวนพลังงานที่ได้รับจากการบริโภคอาหาร เครื่องดื่ม และพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มีหน่วยวัดเป็น กิโลแคลอรี (Kilocalories)          มีตัวย่อคือ Kcal

Q2: ทุกชนิดของคาร์โบไฮเดรตไม่ดีต่อสุขภาพ

A2: ข้อเท็จจริง: คาร์โบไฮเดรตมีทั้งชนิดที่ดีและชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง

คาร์โบไฮเดรตคุณภาพดี: คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง โฮลเกรน ถั่ว ผักใบเขียว ซึ่งมีไฟเบอร์สูงและช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด

คาร์โบไฮเดรตคุณภาพต่ำที่ควรหลีกเลี่ยง: คาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว เช่น ขนมหวาน น้ำตาลทราย และขนมปังขาว ซึ่งทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเร็ว นำไปสู่โรคเบาหวาน โรคหะวใจและหลอดเลือด

 

Q3: การกินแบบ Low carb (Low carbohydrate diet) เหมาะสำหรับทุกคนหรือไม่?

A3: ไม่เหมาะสำหรับทุกคน

อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำมีประโยชน์ในกลุ่ม ผู้ที่เสี่ยงหรือป่วยเป็นเบาหวานและอ้วน ต้องการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว หรือเข้าสู่เบาหวานระยะสงบ ควรกินในระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์

อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไต โรคตับ ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง หญิงตั้งครรภ์ และเด็ก

 

Q4:  การกินแบบ Low Carb ต้องกินไขมันเยอะ ๆ ชนิดไหนก็ได้ ใช่หรือไม่?

A4: ไม่ใช่

การกินแบบ Low Carb ไม่ได้หมายความว่าคุณสามารถกินไขมันชนิดใดก็ได้โดยไม่มีข้อจำกัด แม้ว่ารูปแบบนี้จะเน้นการทดแทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตด้วยไขมัน แต่การเลือกไขมันที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพในระยะยาว

 

ไขมันที่ควรเลือก (ไขมันดี)

  1. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats)
    • พบใน: น้ำมันมะกอก อะโวคาโด ถั่วอัลมอนด์ ถั่วลิสง น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา

    • ช่วยลดไขมันเลว (LDL) ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด NCDs
  2. ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน (Polyunsaturated Fats)
    • พบใน: น้ำมันปลา ปลาแซลมอน ปลาน้ำจืด เช่น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลาทะเล เช่น ปลากะพง ปลาทู น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดแฟลกซ์หรือเมล็ดเจีย
    • มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 ซึ่งช่วยลดการอักเสบและเสริมสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
  3. ไขมันจากแหล่งธรรมชาติที่ไม่ผ่านการแปรรูป
    • พบใน: เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ไก่ เมล็ดพืช และถั่ว











ไขมันที่ควรหลีกเลี่ยง (ไขมันไม่ดี)

  1. ไขมันทรานส์ (Trans Fats)
    • พบใน: อาหารแปรรูป ขนมอบสำเร็จรูป เนย มาร์การีน
    • เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
  2. ไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก (Saturated Fats)
    • พบใน: ไขมันจากเนื้อสัตว์ เช่น ไขมันวัว ไขมันหมู หนังไก่ เนื้อสัตว์แปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
    • ควรจำกัดปริมาณ เพราะจะเพิ่มไขมันเลว (LDL) เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

อาหารแต่ละชนิดให้กี่คาร์บ

“1 คาร์บ” เท่ากับ อาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 15 กรัม (12 - 18 กรัม) แบ่งตามหมวดหมู่ได้ดังนี้

หมวดข้าวแป้ง : 1 ทัพพี (คาร์โบไฮเดรต 18 กรัม = 1 คาร์บ)

 

 

หมวดผลไม้ : 1 ส่วน (คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม = 1 คาร์บ)

หมวดผลไม้ 1 ส่วน เท่ากับ 6-8 ชิ้นคำ

 

ฝรั่ง 6 ชิ้นคำ

กล้วยน้ำว้า 1 ผล

มะละกอสุก 6 ชิ้นคำ

แตงโม 6 ชิ้นคำ

 

 

หมวดผัก : 3 ทัพพี (คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม = 1 คาร์บ)

เฉพาะพืชผักหัวหรือผักที่มีแป้งมาก เช่น ฟักทอง บรอกโคลี แครอท ข้าวโพดอ่อน*ผักใบไม่นับคาร์บ

 

 

 

หมวดนม : 1 ส่วน (คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม = 1 คาร์บ)

 

 

 

หมวดน้ำตาล : น้ำตาลทราย หรือ น้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ (คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม = 1 คาร์บ)

เช่น น้ำตาลทราย หรือ น้ำเชื่อม หรือ แยมสตรอเบอร์รี่ 1 ช้อนโต๊ะ (3 ช้อนชา)

 

 

หมวดเครื่องดื่ม

 

 

หมวดขนมหวานและเบเกอรี่

 

 

หมวดอาหารที่ไม่มีคาร์บ

  ผักใบต่าง ๆ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดธัญพืช น้ำมันหรือไขมัน

หมวดอาหารที่ไม่มีคาร์บ

ข้อมูลเพิ่มเติม

รู้จักคาร์บ รู้จักนับ ปรับสมดุล ควบคุมเบาหวาน

สมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทยฯ

ความรู้เกี่ยวกับโรค NCDs


โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs : Non-communicable disease) คือกลุ่มโรคที่ไม่ใช่โรคติดเชื้อ ไม่ได้     เกิดจากเชื้อโรค และไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ซึ่งจะมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ค่อย ๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารรสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด กินผักผลไม้น้อย อาหารที่มีไขมันสูง อาหารแปรรูป ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ นอนดึก มีความเครียดสูง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ซึ่งทำให้เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็ง โดยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังจะค่อย ๆ มีอาการและอาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อยหากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม โดยกลุ่มโรคไม่ติดต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคได้ ด้วยการเริ่มต้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิต

วิธีการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine)

1. การกินอาหารเพื่อสุขภาพ เน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีความหลากหลายและสมดุล

2. การมีกิจกรรมทางกาย/ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

3. การจัดการความเครียด ดูแลสุขภาพจิต เรียนรู้และฝึกฝนการตอบสนองต่อความเครียด

4. การนอนหลับให้ดีมีคุณภาพ สร้างลักษณะนิสัยการนอนหลับที่ดี

5. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์

6. การมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกทางสังคม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง

การกินและออกกำลังกายให้เหมาะสม


การกินให้เหมาะสม

     สำหรับบุคคลทั่วไป สุขภาพดี

Concept:  กินเป็น ไม่ป่วย อาหารสมดุล (Balance Diet) เน้นพืชผักผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ลดไขมันอิ่มตัว ลดหวาน มัน เค็ม ใช้เครื่องเทศ สมุนไพรในการปรุงอาหาร

การกินอาหารตามธงโภชนาการ (Balance Diet) มีการกระจายสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต 45 - 65 % โปรตีน 10 – 15 % และไขมัน 20 – 35 % ของพลังงานทั้งหมดที่ควรได้รับต่อวัน ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกสำหรับการกินอาหารเพื่อลดปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยจะได้รับพลังงานและสารอาหารที่มีความสมดุล เหมาะสม เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย รวมถึงป้องกันไม่ให้กินไขมันอิ่มตัวในปริมาณมากเกินไป

 

      สำหรับผู้ที่ภาวะน้ำหนักเกินและอ้วน ผู้ที่เสี่ยงและเป็นโรคเบาหวาน

Concept: Low Carb ไม่ใช่ Low Calorie /โปรตีน อย่าให้ขาด /คาร์บ อย่าให้เกิน /เพิ่มเติมด้วยไขมันดี

อาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำ คือ การลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตเหลือ 10 – 25 % ของพลังงานทั้งหมด            ที่ควรได้รับต่อวัน โดยการกินอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำสามารถเริ่มจากการค่อย ๆ ลดปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตจากกลุ่มข้าวแป้ง ธัญพืช ผลไม้ นม และน้ำตาล โดยเพิ่มกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไข่ อาหารทะเล เพิ่มและเน้นการเลือกไขมันที่ดี เช่น ปลา ถั่วเปลือกแข็ง งา น้ำมันรำข้าว น้ำมันคาโนล่า น้ำมันถั่วเหลือง              ควรจำกัดการกินไขมันอิ่มตัวสูงและไขมันทรานส์ เช่น น้ำมันสัตว์ ขนมอบ เบเกอรี่ เพิ่มการกินผักใบ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร อย่างพอเพียง

 

รูปแบบการกิน แบบ 2 : 1 : 1 เป็นรูปแบบหนึ่งของการกินอาหารเพื่อลดน้ำหนักหรือเพื่อควบคุมน้ำหนักตัว โดยหลักการของการลดน้ำหนักที่ดี คือ พลังงานที่ได้รับจะต้องน้อยกว่าพลังงานที่ใช้ไป หรือต้องลดพลังงานที่ได้รับต่อวันลงวันละ 500 กิโลแคลอรี่ ดังนั้นปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันต้องลดลงด้วย ซึ่งการกินอาหารโดยยึดหลัก 2 : 1 : 1 ใน 1 มื้อนั้นจะให้พลังงานประมาณ 400 กิโลแคลอรี่ ช่วยลดพลังงานในแต่ละวันลงได้ 500 กิโลแคลอรี่ (1 สัปดาห์ สามารถลดน้ำหนักได้ 0.5 กิโลกรัม) โดยใช้แนวคิดการกำหนดปริมาณจากแบบจำลองจานอาหาร (food plate model) โดยแบ่งส่วนของจานออกเป็น 4 ส่วน (เส้นผ่าศูนย์กลางจานประมาณ 9 นิ้ว) และแบ่งปริมาณอาหารที่จะใส่ลงจานดังนี้

- ผักชนิดต่างๆ ปริมาณ 2 ส่วนของจาน (ครึ่งจาน)

- ข้าว-แป้ง ปริมาณ 1 ส่วนของจาน (หนึ่งในสี่ของจาน)

- เนื้อสัตว์ที่มีไขมันต่ำ ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ ปริมาณ 1 ส่วนของจาน (หนึ่งในสี่ของจาน)

   

          รูปแบบการกินแบบ 2 : 1 :1  เพื่อลดน้ำหนักหรือเพื่อควบคุมน้ำหนักตัว

การออกกำลังกาย/มีกิจกรรมทางกายให้เหมาะสม

กิจกรรมทางกาย คือ การขยับเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหมดในชีวิตประจำวันในอิริยาบถต่าง ๆ ทำให้เกิดการใช้และเผาผลาญพลังงาน การเคลื่อนไหวร่างกายทั้งหมด รวมถึงการประกอบกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เช่น ทำงานบ้าน ทำไร่ ทำสวน การยกของ การล้างรถ การเดินทาง เช่น การเดิน การขี่จักรยาน และกิจกรรมนันทนาการต่าง ๆ  เช่น การเดินเล่นชมสวน การออกกำลังกายแบบต่าง ๆ และการเล่นกีฬา เป็นต้น

ข้อแนะนำกิจกรรมทางกายเพื่อการมีสุขภาพดี

  1. กิจกรรมสร้างความแข็งแรงให้หัวใจและระบบหายใจ เป็นกิจกรรมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่ง ออกกำลังกาย ให้รู้สึกเหนื่อย ระดับปานกลาง 150 นาที/สัปดาห์ (สามารถแบ่งเป็นวันละ 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์) หรือระดับหนัก 75 นาที/สัปดาห์ (หากไม่ค่อยมีเวลาสามารถแบ่งทำสะสมเป็นช่วงครั้งละอย่างน้อย 10 นาที/ครั้ง)   
  2. กิจกรรมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ ออกแรงต้านกับน้ำหนัก อย่างน้อย 2 วัน/สัปดาห์           ฝึกได้โดยใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนัก เช่น ยกขวดน้ำ ลูกดัมเบล (ลูกน้ำหนัก) ถุงทราย เป็นต้น ควรฝึกยกซ้ำ 12-15 ครั้ง/ชุด ทำ 3 ชุดต่อวัน จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันการเสื่อมสภาพกล้ามเนื้อ รูปร่างกระชับได้สัดส่วน กระดูกและเอ็นยึดข้อต่อแข็งแรง
  3. กิจกรรมสร้างความอ่อนตัว ยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อและข้อต่อ อย่างน้อย 2 วัน/สัปดาห์ เช่น            การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ โยคะ เป็นต้น โดยให้ค้างไว้ 10 - 15 วินาที จะช่วยเพิ่มมุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อ ป้องกันไม่ให้ข้อต่อติดขัด ลดการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้

หัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดี คือ ต้องมีกิจกรรมทางกายให้ครบทั้ง 3 ชนิดเพราะหากเลือกสร้าง         ความแข็งแรงให้หัวใจ และระบบหายใจอย่างเดียว ร่างกายจะไม่มีความยืดหยุ่นของข้อต่อ กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง หรือหากเลือกแบบสร้างความอ่อนตัวของกล้ามเนื้อเพียงชนิดเดียว ก็จะเหนื่อยง่าย หัวใจไม่แข็งแรง กล้ามเนื้อ         ไม่แข็งแรง กระดูกพรุน ข้อต่อเสื่อม เพราะไม่ได้ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อดังนั้น เพื่อประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดขึ้นต่อร่างกายเราจึงควรมีกิจกรรมทางกายให้ครบทั้ง 3 ชนิด

สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ควรมีการประเมิน        ความพร้อมของร่างกาย และปรึกษาแพทย์ก่อนมีกิจกรรมทางกาย และเริ่มต้นด้วยการมีกิจกรรมทางกาย
ในชีวิตประจำวัน

ผู้ป่วยโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง

ควรเริ่มมีกิจกรรมทางกายหรือออกกำลังกายจากระดับเบาก่อน จนร่างกายแข็งแรงขึ้นถึงเป็นระดับหนัก ควรมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องหรือสะสมครั้งละ 10 นาที วันละอย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน หรืออย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์

 

ข้อห้าม/ข้อควรระวังการมีกิจกรรมทางกาย

โรคอ้วน

ไม่ควรออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูงหรือกระโดด แต่สามารถออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำได้ เช่น การเดิน การปั่นจักรยาน การเคลื่อนไหวในน้ำ เป็นต้น

โรคเบาหวาน

ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ยังควบคุมไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนมีกิจกรรมทางกาย หรือการออกกำลังกาย

  • ขณะออกกำลังกายไม่ควรเกร็งกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน และไม่ควรกลั้นหายใจ
  • ระวังภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำโดยสังเกตอาการ เช่น เวียนศีรษะ หน้ามืดใจสั่น มือสั่น หากมีอาการควรหยุดออกกำลังกายทันที



  • โรคความดันโลหิตสูง

  • ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ยังควบคุมไม่ได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนมีกิจกรรมทางกาย หรือการออกกำลังกาย
  • ไม่ควรออกกำลังกายด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน ห้ามกลั้นหายใจ ขณะออกกำลังกาย




  • หยุดการมีกิจกรรมทางหรือออกกำลังกายทันที ถ้ามีอาการดังต่อไปนี้

  • เจ็บหน้าอก อาการเจ็บหัวใจเหมือนถูกกดทับหนัก ๆ แน่น ๆ และเจ็บอยู่ภายใต้หน้าอก อาการมักแย่ลงเมื่อออกแรง และดีขึ้นเมื่อได้พัก (อาจเจ็บร้าวไปที่ไหล่ แขน ลำคอ ขากรรไกร หรือหลังได้)
  • มีอาการรู้สึกเหนื่อยผิดปกติ หัวใจเต้นผิดปกติ
  • การหายใจขัดหรือหายใจไม่ทั่ว

  • เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หน้ามืด เสียการทรงตัว